วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ บางคนแอบรักเขา
ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน
ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่
งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม "ฆ่าเวลา" ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ

ลองคิดแบบนี้บ้าง ใช่แล้ว....เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ

ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว
เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู
ไม่สนว้อย...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ) ตายแล้ว
ใช้เวลา (ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ
เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล

.......
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี
ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง

เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน ....
แล้วนะ
อ้าว....รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน....เสียดายแย่


ที่มา : เจ้นวล
เจ้าของบทความ : น้าเน๊ก

อีกด้านของนิทาน

The Prince...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่ง
เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก
เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น
มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...

The Princess...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง
เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น
ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ
ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก
ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ
แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป
เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...

The Wizard...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก
เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก
ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย
เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด
และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้
เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก
ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...
เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้
เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้
ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย
ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา
เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...

''หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ...''


ที่มา : ปัญชิกา มูลรังษี
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

หากคิดจะใช้เวลาชั่วชีวิตกับใครสักคนคุณควรจะแน่ใจว่าเขาคนนั้น ...

หากคิดจะใช้เวลาชั่วชีวิตกับใครสักคนคุณควรจะแน่ใจว่าเขาคนนั้น ...

1. ควรจะเป็นคนที่คุณรู้สึกพอใจในตัวเขาในหลายๆด้าน เช่น รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ท่าทาง การใช้คำพูด ฯลฯ บางคนอาจเรียกว่าถูกชะตาก็ได้ ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นข้อดี ของเขาอย่างที่คุณเห็นก็ได้

2. มีทัศนคติตรงกัน หรือพูดกันรู้เรื่อง คือไวต่อความต้องการของอีกฝ่าย พอสมควร สามารถเปิดใจคุยกันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องลึกๆและเรื่องเล่น ๆ

3. มีความรู้สึกชื่นชมยกย่องซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะทำงานคนละด้านหรือ มีการศึกษาที่แตกต่างกันก็ตาม

4. มีเหตุผล พูดจาปรึกษาหารือกันได้ไม่ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว

5. ขยัน เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตคู่และอนาคตข้างหน้า

6. ปรารถนาดีต่อกัน หรือจริงใจต่อกัน ข้อนี้ต้องดูกันนานหน่อยค่ะกว่าจะรู้ว่าไม่ได้เสแสร้ง หรือหวังผลประโยชน์จากเรา

7. อายุก็มีความสำคัญ เพราะจะทำให้มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความอดทน และมีความพร้อมมากขึ้น
8. มีสุขภาพกายที่ดี หมายถึงแข็งแรงและมีสุขภาพอนามัยที่ดี

9. มีสุขภาพจิตดี ปรับตัวเข้ากับคนและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่มองโลกในแง่ร้าย

10. ควรมีพื้นฐานทางฐานะพอที่จะพึ่งตนเองได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิด ปัญหากับชีวิตคู่ในอนาคต

11. มีความรักต่อกัน ข้อนี้คงจะรู้กันได้ถ้าพบคนที่คุณถูกใจ

12. เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คู่รักที่รักกันยาวนาน มักปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แม้ในเวลาที่คุณถกเถียงกัน ก็ไม่ควรลืมว่า เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะราบรื่น แต่การเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน จะทำให้คุณสามารถประคับประคองนาวารักของคุณไปได้

13. มีความรู้ และความคิด เพียงพอที่จะช่วยกัน พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยไม่ถอนตัวหนีหายไปไหน ข้อนี้อาจจะมองยากหน่อย แต่ก็ถือเป็นขั้นสุดของสังคมยุคนี้แล้วหละ


ที่มา : deedeejang.com
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

หนูสอนให้พ่อ... รู้ว่า...

หนูสอนให้พ่อ... รู้ว่า... หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ถ้าหนูก้มเอาหน้าผากแตะพื้น
แปลว่าช้อนเมื้อกี้เป็นช้อนสุดท้าย
แล้วหนูจะไม่หม่ำอีกเด็ดขาด ไม่ว่าพ่อจะมาไม้ไหนก็ตาม

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ตอนนี้พจนานุกรมหนูมี 3 คำ
มี้อาว แปลว่า ไม่เอา ... มะ แปลว่า แม่ ... จิ แปลว่า ฉี่
(ซึ่งบางครั้งพ่อก็ต้องเดาเอาว่า จะฉี่ หรือ ฉี่ไปแล้ว จงไปตามเช็ดด้วย)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า เย็นวันที่พ่อกลับเร็วนั้นมีความหมายกับหนูแค่ไหน

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า หนูกินไม่เลือกเหมือนพ่อนั่นแหละ

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า อย่ารัดจุกหนูกลางหัว
เพราะเวลาหนูคันหัวหนูจะเกาจนมันหลุด
ให้รัดค่อนมาทางหน้าผาก

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ถ้าหนูมาเกาะขาแล้วชี้ไปที่ไหน
แปลว่า สิ่งนั้นมันทำให้หนูเจ็บหรือไม่ชอบใจ
(ซึ่งบางทีหนูก็เกาะขาแม่แล้วชี้มาที่พ่อ)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ถ้าหนูยังไม่หลับ
อย่าหวังว่าใครในบ้านจะได้หลับ (อย่างเป็นสุข)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า การจัดบ้านให้เป็นระเบียบนั้น
เป็นการเสียเวลาและพลังงานโดยเปล่าประโยชน์

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า เมื่อหนูตื่นมากลางดึก
ถ้าพ่อตบก้นหนูเบาๆแล้วหนูยังไม่หลับต่อ แปลว่าหนูหิวน้ำ
จงเอาขวดน้ำมาใส่ปากหนูซะดีๆ ไม่งั้นพ่อไม่ได้หลับต่อแน่ๆ ...

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ราคาของผ้าอ้อมสำเร็จรูปไม่มีความสัมพันธ์ต่อจำนวนครั้งที่หนูจะตื่นมากลางดึก ...

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า อย่าลืมปล่อยหนูเล่นน้ำนานเกิน 10 นาที เพราะหนูจะเป็นหวัด แล้วคนที่เดือดร้อนก็พ่อนั้นแหละ

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ถ้าหนูนอนไม่หลับให้เอามือหนูมาแปะไว้ที่หน้าพ่อแล้วหนูจะหลับได้ง่ายขึ้น
(แต่ตอนตื่นมักจะกลายเป็นเท้าหนูเวียนมาอยู่บนหน้าพ่อแทนอยู่ร่ำไป)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า ....
แล้ววันหนึ่งที่ .... ความรักของพ่อ ...
ถูกมองว่าน้อยกว่าความรักผู้ชายอีกคนหนึ่ง

คำพร่ำเตือนสอนสั่งของพ่อ .... เสียงดังน้อยกว่าคำออดอ้อนของผู้ชายคนนั้น

ความห่วงใยของพ่อ ... มีค่าน้อยกว่าที่จะปฏิเสธคำขอผู้ชายคนนั้น

อ้อมกอดของพ่อ ... ดูเหมือนจะอบอุ่นน้อยไปกว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น

พ่อหวังแค่เพียง...ผู้ชายคนนั้นจะรักและทะนุถนอมหนูได้เพียงครึ่งที่พ่อรักหนู ...


ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_*
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

เวลา นาฬิกา.. แตกต่าง แต่เติมเต็ม

แปลกมั๊ย..ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย

เวลา... เดินไปข้างหน้า
นาฬิกา.. เดินอยู่ที่เก่า

เวลา.. เราไม่อาจย้อนกลับ
นาฬิกา.. เราหมุนย้อนมันได้

เวลา.. เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน
นาฬิกา.. เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย

เวลา.. ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร
นาฬิกา.. ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น

แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน

แต่ถามหน่อย.. ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลามั๊ย
หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร

ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว
ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันรึป่าว?

ฉันกับเค้า.. อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน
ฉันกับเค้า.. มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ฉันกับเค้า.. อาจเดินกันคนละเส้นทาง
ฉันกับเค้า.. อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน

ฉัน.. อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า
หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง

เค้า.. อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ
ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ

ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า
ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง

เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ
เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป

แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ …
ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้

แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั้นน่ะแหละ
ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน

ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย
และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..
** กันและกัน **


ที่มา : Ps.Nual
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

วิธีการดับทุกข์เพราะ..เพื่อน

             สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวศักยะ ในแคว้นสักกะ ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น นับว่าเป็นครึ่งหนึ่ง ของพราหมจรรย์ทีเดียวนะ พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ ได้ตรัสค้านขึ้นว่า

"พระอานนท์ ! เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น นับว่าเป็นพราหมจรรย์หมดทั้งสิ้นทีเดียว

         อานนท์ ! อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีก็เป็นอันหวังได้แน่นอนว่า จะได้เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จะกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘…."

(อุปัฑฒสูตร ๑๙/๒)

......................................................

         ได้ยกเอาพระสูตรสำคัญที่สุด ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสคัดค้านพระอานนท์ ที่กราบทูลว่า การมีเพื่อนดี เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เท่านั้น แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นทั้งหมดที่เดียว

         ข้อนี้เป็นที่รับรองของท่านผู้รู้ อย่างชนิดไม่ต้องสงสัยเลย เพราะมีสุภาษิตรับรองอยู่ทั่วไป เช่น คนคนเช่นใด ย่อมเป็นเช่นคนนั้น คบคนเลวย่อมเลวตาม และคบคนดีย่อมดีขึ้นในทันที เป็นต้น

         ในมงคล ๓๘ ท่านจึงได้วาง หรือจัดวางไม่คบคนพาล ไว้เป็นข้อแรก และจัดการคบกับบัณฑิตไว้เป็นข้อที่ ๒ ทั้งนี้ก็เพราะ การคบเพื่อนเหมือนกับการเริ่มต้น ของการเดินทาง การคบเพื่อนที่ไม่ดี ก็เหมือนการเดินทางผิด ยิ่งเดินก็ยิ่งผิด ทางที่ถูกก็คือ ต้องตั้งต้นเดินใหม่ นั่นคือการเลือกคบแต่คนดี

        ปัญหามีต่อไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เพื่อนคนไหนดีหรือไม่ดี ? การคบกันใหม่ ๆ ย่อมจะดูยาก ไม่เหมือนการดูสัตว์บางประเภท เช่น เสือมันก็ยังมีลายหรือสีที่ขนพอให้แยกได้ ว่าเป็นเสือหรือสัตว์ประเภทอะไร ? เป็นต้น

การดูคนดีหรือชั่ว เรามีจุดที่จะดูอยู่ ๓ จุด คือ ที่กาย วาจา และที่ใจของเขา โดยมีศีลและธรรม เป็นมาตรวัดดังนี้

ทางกาย ๔ คือ – ไม่ฆ่าสัตว์ – ไม่ลักทรัพย์ – ไม่ประพฤติผิดในกาม และ – ไม่ดื่มสุราเมรัย
ทางวาจา ๔ คือ - ไม่พูดปด – ไม่พูดคำหยาบ – ไม่พูดส่อเสียด และ – ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ ๓ คือ – ไม่โลภอยากได้ในทางที่ผิด - มีจิตเมตตาไม่ปองร้ายหรือพยาบาท และ – มีความเห็นชอบและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

มีข้อที่ดูยากก็คือทางใจ แต่ก็พอจะดูได้ เพราะเมื่อใจคิดแล้ว มักก็ต้องพูดหรือทำ ไม่ช้าก็เร็วออกมาจนได้ การคบกันนาน ๆ จึงจะรู้ธาตุแท้หรือสันดานของคนได้แท้จริง

ในอกิตติชาดก (๒๗/๓๓๗) ท่านแนะให้ดูคนพาล หรือคนชั่วที่ ๕ จุด นับว่าเข้าทีและเป็นไปได้ คือ
- คนพาลชอบชักแนะนำในทางที่ผิด
- คนพาลมักชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของตน
- คนพาลมักจะเห็นผิดเป็นชอบ
- คนพาลแม้เราหรือใคร ๆ พูดดี ๆ ก็โกรธ
- คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัยหรือกฎหมาย

      เป็นอันว่า เราได้ทั้งหลัก และแนวทางของการดูคน ว่าดีหรือชั่วแล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ว่า เราจะเลือกคบกันคนดี หรือคนชั่ว ถ้าเราเลือกคบคนดี และนึกรังเกียจคนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเรามีสัมมาทิฐิ

        แต่ถ้าจิตของเรา เกิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คือเห็นผิดเป็นชอบ รังเกียจคนดี แส่เที่ยวหาคบแต่คนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเราเป็นมิจฉาทิฐิ นับว่าเป็นอันตรายมาก ควรรีบแก้ไขเสียโดยด่วน ถ้าขืนปล่อยไปตามนั้น อนาคตที่มองเห็นก็คือ ไม่ตายตอนแก่แน่ ๆ ขนาดเบาก็มีคุกเป็นบ้านถาวร

คนเราเป็นสัตว์สังคม จึงจำเป็นต้องคบหาเพื่อนฝูง ไม่มีเพื่อนมากก็ต้องมีน้อย เพราะไม่มีใครจะอยู่คนเดียวในโลกได้

       การคบเพื่อนที่ดี ย่อมจะนำแต่ความสุข และความเจริญมาให้ ในทางตรงข้าม ถ้าคบเพื่อนชั่วหรือพาล ย่อมจะนำแต่ความทุกข์เดือดร้อน และความเสื่อมนานาประการมาให้

        ดังนั้น ใครมีเพื่อนที่ดีอยู่แล้ว ก็ควรจะถนอมน้ำใจด้วยการปฏิบัติตาม "สังคหวัตถุ ๔" อย่างสม่ำเสมอ ก็ย่อมจะผูกน้ำใจเพื่อนที่ดี ไว้ได้ตลอดกาล

        ถ้ามีเพื่อนเป็นคนชั่ว ก็ควรเร่งถอนตัว ตีจากเสียให้เร็จที่สุด เพื่อป้องกันทุกข์ภัย ที่จะมีในปัจจุบัน และในอนาคต

ทางแก้
๑. พิจารณาให้เห็นโทษ ของการคบกับคนชั่ว และคุณของการคบกับคนดี อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และต้องตัดใจเลิกคบกับคนชั่วให้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
ก. เลิกคบกันทันทีทันใด ถ้าคิดว่าทำแล้วจะไม่เกิดมีทุกข์หรือภัยตามมาภายหลัง
ข. ค่อย ๆ แยกหรือปลีกตัวออกมา โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัว
ค. ตัดสายสัมพันธ์ ที่เป็นสื่อเชื่อมโยงออกให้หมด

๒. ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกัน หรือทำงานร่วมกัน ก็อาจขอย้ายห้อง ย้ายโรงเรียน หรือเปลี่ยนงานใหม่ ก็แล้วแต่กรณี

๓. ย้ายบ้าน อย่าอยู่ใกล้ชิดกันอีกต่อไป

๔. เลือกคบหาคนดีไว้ทดแทน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่อาจจะอยู่โดดเดี่ยวได้

        เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อเราคบกับคนชั่ว คนดีก็ย่อมรังเกียจไม่คบหาด้วย และเมื่อเราเลิกคบกับคนชั่ว คนดีก็ย่อมคบหาด้วย อย่ากลัวเลยว่า จะหาคนดีคบไม่ได้ ขอแต่ว่าให้เราเป็นคนดีจริง ๆ เถอะ อย่าเป็นคนประเภท "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ" ก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ โลกเราหนาแน่นไปด้วยคนมีความรู้ มีดีกรีสูงแต่ขาดแคลนคนดีหรือบัณฑิต (ผู้มีปัญญา) ยิ่งนัก.


ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : "บันทึกธรรม"

วิ่งตาม ความรัก

วิ่งตาม ความรัก สมัยตอนเป็นเด็ก.. จำได้ว่สในวิชาพละศึกษา
คุณครูสั่งให้เราวิ่งรอบสนามกันคนละ 20 รอบ.. เพื่อจับเวลาของแต่ละคน ..
แถมยังมีรางวัลมาล่อใจอีกด้วยว่า.. ใครเข้าเส้นชัยได้คนแรก..
จะมีคะแนนพิเศษเพิ่มให้

พอเริ่มออกสตาร์ท..
ฉันก็สังเกตเห็นเพื่อนหลายคน ..พยายามจะเบียดตัวเอง..ขึ้นมาอยู่แถวหน้าสุด.. เพื่อที่จะได้เปรียบคนอื่นในช่วงออกตัว

แล้วพอครูบอกว่า..วิ่งได้-เท่านั้นแหละ ..
เพื่อนหลายคนของฉัน..ก็วิ่งปรู๊ดออกไปแบบไม่คิดชีวิต

ส่วนฉัน -- โน่น วิ่งอยู่หลังสุด

ไม่ได้ช้า..เพราะเหนื่อย ..หรือเพราะวิ่งไม่เก่ง ..
แต่ฉันกำลังรู้สึกสนุกสนาน..กับการวิ่งจับเวลาซะเหลือเกิน ..
เพราะฉันวิ่งไป- คุยไป ..กับเพื่อนซี้รู้ใจ..แบบไม่สนเวลา ..
ฉันสนใจความสนุกสนาน..ระหว่างการวิ่งมากกว่า

บางที..เห็นคนข้างหน้า..ที่วิ่งนำมาหลายรอบ..กำลังชะลอความเร็ว ..เพราะเหนื่อยหอบ ..
ก็อดที่จะขอวิ่งแซงหน้าบ้างไม่ได้ ..

หรือบางที..หันไปเห็นเพื่อนที่วิ่งรั้งท้ายตลอด..
ก็จะพยายามวิ่งให้ช้าลง ..รอให้เขาวิ่งทัน..จะได้คุยไปด้วยกันหลายๆ คน….สนุกดี

หรือบางที..รู้สึกไม่อยากแซงคนข้างหน้าขึ้นมาเฉยๆ..
เพราะว่าวิ่งตามหลังเขา.. จะได้แอบนินทาเขาได้.. สนุกไปอีกแบบ

จะทำลายสถิติไหม ..ไม่รู้หรอก..
รู้แต่ว่า..วิ่งช้าๆ-มันไม่เหนื่อยเร็ว ..และขอแค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย..ก็พอ

*

*

คงคล้ายคล้าย..กับ 'ความรัก' ..กระมัง

ทุกคน..มี 'เส้นชัย' ของตัวเอง ..มีสถิติ-ที่ตัวเองพอใจ

แต่..คนที่เข้าเส้นชัยก่อน ..ใช่ว่า..จะคว้า 'ความรักที่ดี' ได้ก่อนเสมอไป ..
และสถิติที่ดี.. ก็ไม่ได้การันตีว่า.. 'ความรัก' จะสมบูรณ์แบบ

ในขณะที่..สังคมทุกวันนี้..ปลูกฝังให้เราวิ่งแซงคนอื่น ๆ เสมอ ..
สอนว่า...อย่าพยายามให้ใครแซงหน้า..
เพราะนั่นหมายถึง.. ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไป

แต่..สังคมของ 'ความรัก' ..สอนให้คนรู้จักผ่อนจังหวะก้าว..ให้ช้าลง ..แต่หนักแน่นขึ้น

โลกภายนอก..บอกให้เรารู้ว่า ..
'อย่าวิ่งตามใคร..ถ้าไม่แน่ใจว่า..จะตามเขาได้ทัน ..
เพราะมันเสียแรงเปล่า.. และโง่เหลือเกิน'

แต่.. 'โลกของความรัก' ..
ใครอีกหลายคน...สมัครใจที่จะเป็น 'คนโง่'.. เพื่อวิ่งตาม 'คนที่ตัวเองรัก' ให้ทัน
..ทั้งที่รู้แก่ใจว่า.. 'ไม่มีวันนั้น'

………………………………

เพื่อนรักคนหนึ่งของฉัน.. มี 'เส้นชัย' ..ในหัวใจของเธอเอง

คนรักของเธอ..เป็นนักวิ่งฝีเท้าดี ..เพราะตั้งแต่อยู่กันมา ..เขาออกวิ่งก่อนเธอเสมอ ..
ไม่เคยบอกล่วงหน้า.. และไม่เคยชะลอความเร็วลงเลย ..
แต่ความเร็วของเขา..ก็ไม่มากไปกว่า.. 'ความรัก' ที่เธอมี

'ความรัก' ทำให้เธอวิ่งเร็วขึ้น.. ใกล้เขามากขึ้น..
และไม่ยอมปล่อยให้เขาทิ้งระยะ..จนคลาดสายตาเธอ

แต่..เมื่อเกือบที่จะถึงตัวเขา ..เธอก็จะเลือกที่จะ 'วิ่งให้ช้าลง'
..ราวกับว่า..จะวิ่งเหยาะๆ ..ตามเขาไปเรื่อยๆ

เธอแซงหน้าเขาได้ ..แต่เธอไม่ทำ..
แม้แต่จะวิ่งให้ทันเขา-ในแนวเดียวกัน ..เธอก็ทำได้..แต่เธอไม่ทำ

'เหตุผล' ..ที่ฟังดูเหมือนง่ายของเธอ..ทำเอาใจฉันนิ่งงัน

'ถ้าวิ่งให้ทันเขา ..หรือแซงหน้าเขาไป ..ฉันก็คงมองไม่เห็นเขาในชีวิตอีก

แต่ถ้าฉันวิ่งตามเขาห่างๆ แบบนี้ ..เท่ากับว่า..
ฉันยังได้เห็นความเป็นไปของเขา ..ยังมีเขาอยู่ในสายตา ..ในชีวิต

แม้ว่า..เขาจะไม่เคยหันหลังกลับมา.. แล้ววิ่งให้ช้าลงเลย..ก็ตาม'

'แล้วทำไม..ไม่เข้าใกล้เขากว่านี้ ..
ทำไมต้องเว้นระยะห่างแบบนี้ด้วย.. เธอเป็นคนรักของเขานะ'
คำถามของฉัน..ทำให้แววตาของเพื่อนรัก..ปรากฏรอยเศร้า … แต่ปากยิ้ม

'ฉันกลัวเขารู้ตัว.. แล้ววิ่งหนีฉันไป-ไกลยิ่งกว่านี้ ..
ถึงวันนั้น..ฉันอาจเหนื่อยจนหมดแรง..ที่จะวิ่งตามอีกต่อไปแล้ว

ห่างแบบนี้ดีกว่า ..ฉันได้เห็นเขา ..มันอุ่นใจ ..

หรือถ้าวันหนึ่ง..เขาล้มลง… ฉันจะได้วิ่งเข้าไปช่วยพยุงได้ทัน

และถ้ามันจะทำให้เขาเห็น 'ความจริงใจ' ของฉัน ..
เขาอาจจะชวนฉันวิ่งไปพร้อมกันอีกครั้ง.. ถ้าเขาหายดีแล้ว'

*

*

ความรัก..ทำให้คนมีความหวัง..อยู่เสมอ

ในขณะเดียวกัน ..มันก็ทำให้คนบางคน 'โง่งมงาย' เสียเต็มประดา

ถ้าเพื่อน..เลือกที่จะวิ่งออกนอกเส้นทาง.. แล้วไปตั้งต้นใหม่..กับ 'ใครสักคน' ที่เขาพร้อมจะวิ่งไปกับเพื่อน..
ป่านนี้เพื่อนของฉัน..คงเข้าเส้นชัยไปนานแล้ว

แต่..เพื่อนยังคงเต็มใจ..ที่จะวิ่งตามเขาไปเรื่อยๆ

แม้ว่าบางที..อาจจะไม่มีวันนั้น .. วันที่เพื่อนเข้า.. 'เส้นชัยแห่งความรัก'

เพราะบางที….. 'เส้นชัย' ..อาจไม่มีความหมายต่อคนบางคน..
หากว่า..เขาเข้าเส้นชัย ..แต่ได้ทำ 'หัวใจ' หล่นหายไป..ระหว่างทาง

เมื่อ 'ความสุข' คือ… การโง่ที่จะรักและวิ่งตาม

ในสังคมของความรัก… ฉันจึงมองเห็นคนที่ 'วิ่งช้า'
..และปรารถนาจะเป็น 'ผู้ตาม' ด้วยความเต็มใจ..อยู่เสมอ

ความรัก ..ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

แต่ .. 'ความรัก' ..เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิต....มีค่ามากที่สุด

*

*

ตอนนี้..ก็คงจะพอรู้..

ถึงความรู้สึกของ 'การวิ่งตาม' ..บ้างแล้วนะ..


อยากเป็น 'คนวิ่งตาม'...

โดยที่ไม่รู้จักเหนื่อยบ้าง..เหมือนกัน


ที่มา : Ajjima
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

เพื่อนที่ดีของคุณ

อย่าร้องไห้นะ และเราก็หวังที่จะได้รับเมล์กลับ
---- ความคิดสมัยอนุบาล
เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้สีเทียนสีแดงกับคุณ
เมื่อมีเหลือแต่สีเทียนสีดำทะมึน

---- ความคิดสมัย ป.1 เพื่อนที่ดีคือคนที่ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณ
แล้วก็จับมือคุณระหว่างเดินผ่านห้องโถงที่น่ากลัว

---- ความคิดสมัย ป.2
เพื่อนที่ดีคือคนที่ทำให้คุณเข้าเรียนคลาสที่ไม่อยากเรียน (มั้ง)

---- ความคิดสมัย ป.3 เพื่อนที่ดีคือคนที่แบ่งอาหารกลางวันให้คุณ
เมื่อคุณลืมกล่องข้าวไว้ที่บ้าน = =?

---- ความคิดสมัย ป.4
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมเปลี่ยนคู่เต้นในวิชาลีลาศ
เมื่อคุณไม่อยากจับคู่เต้นอยู่กับนิกจอมลามก หรือเอ็มกลิ่นแรง

---- ความคิดสมัย ป.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่เผื่อที่นั่งให้คุณเมื่อถึงมื้อเที่ยง

---- ความคิดสมัย ป.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่พาคุณไปหาคนที่คุณตกหลุมรัก
เพื่อขอให้เค้ามาเต้นรำกับคุณ
เผื่อว่าเค้าปฏิเสธคุณจะได้ไม่ต้องอายไง

-----------------------------------------------------------------------------------
---- ความคิดสมัย ม.1 เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้คุณลอกรายงานสังคม

---- ความคิดสมัย ม.2 เพื่อนที่ดี คือคนที่ช่วยคุณทำรายงานกลุ่ม
และไม่เคยนินทาคุณลับหลัง

---- ความคิดสมัย ม.3 เพื่อนที่ดี
คือคนที่เปนที่ปรึกษาปันหาหัวใจให้คุณ และอินกับคุณในทุกๆอารมณ์

---- ความคิดสมัย ม.4 คือ คนที่ยอมเปลี่ยนวิชาเรียน
เพื่อที่คุณจะได้มีเพื่อนนั่งกินข้าว

---- ความคิดสมัย ม.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมให้คุณขับรถใหม่ของเค้า
ช่วยคุยกะพ่อแม่ของคุณเวลาคุณมีปัญหา
แล้วก็คอยปลอบคุณตอนที่คุณเลิกกับแฟน

---- ความคิดตอน ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเข้า
แล้วก็บอกกับคุณว่าคุณเข้าที่นั่นได้แน่
แถมยังช่วยคุยกับพ่อแม่ให้ยอมให้คุณไปเรียนมหาลัยนั้นอีกด้วย

---- ในงานจบการศึกษา เพื่อนที่ดีของคุณ คือคนที่ร้องไห้เงียบๆ
ในใจ แล้วก็แบ่งปันรอยยิ้มกว้างๆ ให้คุณ
หน้าร้อนหลังจบ ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณล้างขวดหลังงานปาร์ตี้
ช่วยคุณแอบย่องออกจากบ้านตอนที่คุณตกลงกับพ่อแม่ไม่ได้
ทำให้คุณกับแฟนกลับมาคบกันอีก ช่วยคุณเก็บของเพื่อย้ายไปมหาลัย
แล้วก็กอดคุณอย่างเงียบๆ มองคุณด้วยแววตาที่ขุ่นมัว
พร้อมกับความทรงจำ 18 ปีที่ผ่านมา
ให้กำลังใจคุณในทางที่คุณเลือกเดินเหมือน 18 ปีที่ผ่านมา

และตอนนี้ เพื่อนที่ดี
ยังคงเป็นคนที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
จับมือของคุณเมื่อคุณกลัว
ช่วยคุณต่อสู้กับสิ่งที่พยายามเอาเปรียบคุณ
คิดถึงคุณตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่ เตือนคุณในสิ่งที่คุณลืม
ช่วยคุณผ่านอดีตแต่ก็เข้าใจเมื่อคุณอยากอยู่กับอดีตอีกซักนิด
อยู่กับคุณเพื่อให้คุณมีความมั่นใจ หรือไปไกลๆ คุณซักพัก
เพื่อให้คุณได้มีเวลากับตัวเอง ช่วยคุณแก้ไขความผิดพลาด
ช่วยคุณจัดการกับความกดดันทั้งหลาย ยิ้มให้คุณเมื่อยามคุณเศร้า
ช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น และอย่างสำคัญที่สุด คือ ?รักคุณ?

ส่งความรู้สึกนี้ ให้เพื่อนเก่า และเพื่อนใหม่
และเพื่อนที่อยู่กับคุณตลอด (ยังไม่ร้องไห้ใช่มั้ย?
ยังมีต่ออีกนะ)
ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อน ไม่ว่าเราจะไปถึงจุดไหน
หรือเรากลายเป็นอะไร จะไม่มีวันลืมคนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้น

ไม่มีการผิดเวลาที่จะโทรศัพท์ หรือส่งข้อความ
เพื่อบอกเพื่อนของคุณว่า คุณคิดถึงพวกเค้าขนาดไหน
หรือว่าคุณรักพวกเค้าขนาดไหน

คุณรู้ว่าคุณเป็นใคร
ส่งความรู้สึกนี้ไปให้คนบางคนที่คุณอยากจะนึกถึง
ดังนั้น ส่งเมล์นี้ให้เพื่อนคุณทุกๆ คน และรอคอยให้เค้าส่งกลับ

ถ้าคุณรักใครซักคน ก็บอกเค้าซะ
จำไว้เสมอเลยนะว่าพูดสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณหมายถึง
อย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง
ใช้โอกาสนี้ในการบอกใครซักคนที่มีความหมายกับคุณ
คว้าเอาไว้แล้วจะไม่เสียใจ

สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ใกล้ๆ กับเพื่อนและครอบครัว
สำหรับการที่พวกเค้านั้นทำให้คุณกลายมาเป็นคุณในวันนี้
บอกความรู้สึกซะ ให้เกิดความแตกต่างขึ้นในวันของคุณและเค้า

ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรัก และการเสียใจ คือ
การเสียใจอาจจะอยู่ตลอดไป
ภายใน 1 ชม. คุณต้องส่งเมล์นี้ให้คนอื่น
เพื่อให้เค้าได้รู้ว่าเค้ามีความหมายสำหรับคุณนะ
ถ้าคุณกำลังยุ่งละก้อ.. คิดซะว่าใช้เวลาแค่ 2-3 นาทีเองน่า..
ที่จะบอกความรู้สึกนี้ออกไป มันจะดีกว่าเยอะเลยนะ
ถ้าคุณส่งเมล์นี้ต่อไปน่ะ

เอาล่ะ ตกลงกันแล้วนะ ส่งเมล์นี้ต่อไปอย่างน้อย 10 คน
ภายในหนึ่งชม. ที่ได้รับเมล์นี้
คนที่ห่วงใยคุณมอบความอบอุ่นให้คุณ
และความอบอุ่นนั้นก็มาจากการรักผู้อื่น


ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

เพื่อนกะแฟนมันแทนกันไม่ได้

***ข้อความนี้อาจจะมีคำหยาบขออภัยมาล่วงหน้าละกันนะ***

เพื่อนกับแฟน

อาหาร

เพื่อน: ข้าวราดแกง / ก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่ เกิน 30 - กินไรแพงๆ วะ เปลืองชิบ

แฟน : อะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ ข้าว - สปาเกตตี้ เฟรนฟรายซ์ ซูชิ ชิสุ สั่งกันไป… มื้อละร้อยขึ้น



สถานที่

เพื่อน: สนามกีฬา สว่าง กว้าง สนุก

แฟน: โรงหนัง มืด แคบ นุ่ม...!?



ข้ามถนน

แฟน: ข้ามได้มั้ย ระวังนะครับ! จับมือผมไว้

เพื่อน: ………อ้าว! เชี่ยนี่… รอกูด้วย (แม่งข้ามไปนานละ)



ที่บ้าน

เพื่อน: มาเพื่อ ดื่ม เมา นินทาเพื่อน ด่าชาวบ้าน เฮฮาปาจิงโกะ

แฟน: มาเพื่อ ………………!?!


เวลาเดิน

แฟน: แนบชิด ประหนึ่งตัวดูดแบบสุญญากาศ

เพื่อน: เฮ้ย! ไปไกลๆกูหน่อยดิ ร้อนจะตายชัก!!



บนรถเมล์

แฟน: นั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมยืนเอง

เพื่อน: เหยิบหน่อยดิวะ กูจะนั่งด้วย!



บนรถเมล์(2)

แฟน: 2 คนครับ (ยื่นเงินให้กระเป๋าฯ)

เพื่อน: เฮ้ย มึงมีป่าววะ ออกไปก่อนดิ กูมีแบงค์พัน



เงิน

แฟน: มีเสมอ..จ่ายไม่อั้น

เพื่อน: ไม่มีเสมอ... มึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูให้(แร้วแม่งก็ชิ่ง)



มาสาย

แฟน: ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้

เพื่อน: ทำไรอยู่วะ มาโคตรช้าเลย สาด ...เลี้ยงข้าวกูเลย (จริงๆเพิ่งจะมาก่อนได้ 5 นาทีเหมือนกัน)



ช่วยทำธุระ

แฟน: ว่างเสมอ - อ๋อ ว่างครับ จะให้ไปถึงที่นั่นกี่โมงดี จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า

เพื่อน: ไม่เคยว่าง - ขนของย้ายห้องเหรอวะ ... เออ...ที่จริงก็ได้นะ แต่พอดี แม่กูให้ช่วยพาไปหาญาติๆ ฝ่ายแม่ว่ะ แล้วบ่ายๆ ต้องไปหาของฝ่ายพ่ออีก
คงไม่ว่างแล้วละ




กลับบ้านดึก

แฟน: เดี๋ยวผมนั่งรถไปส่งดีกว่านะ กลับคนเดียวอันตราย

เพื่อน: กลับยังไงวะมึง มีค่ารถป่าว

แต่กูไม่มีให้ยืมนะเว้ย



ป่วย

แฟน: เป็นไรมากมั้ย? กินยายังคับ ห่มผ้าด้วยนะ

เพื่อน: เป็นไรอีกวะ สำออยอะดิมึง… ออกมาให้ไวเลย แดกเหล้ากัน



เวลาอยู่ด้วยกัน

เพื่อน: เยี่ยว ขี้ ขากเสลด ซื้ดขี้มูก ตด - ห่านี่ อุบาทชิบหาย

แฟน: แต่งตัว โบ๊ะหน้า เสริมจมูก ดันนม ดึงเกงใน เช็คขนจ้ากแร้ - ตามบายๆ



สอนหนังสือ

แฟน: ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะครับ จะอธิบายให้ใหม่

เพื่อน: กูสอนมึง 3 รอบแล้วนะ แดกหญ้าแทนข้าวไงวะ



วาเลนไทน์

แฟน: ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว เดือน และ ขนหน้าอก

เพื่อน: ……………(วันนี้มันไม่มีตัวตน)



โดนทิ้ง

แฟน: เราไปกันไม่ได้ / อย่ามายุ่งกับเรา / ไปไหนก็ไป รำคาญ

เพื่อน: ไม่เป็นไรเว้ย! ช่างแม่ง … มึงยังมีกูอยู่..........
เห็นมะว่ามันแทนกันไม่ได้จิงๆๆ....~

ที่มา : ฟ้าใส
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

เพื่อ...เพื่อน

เพื่อ...เพื่อน ..ไหล่ของฉัน
มันไม่ได้มีความหมายเพียงเพื่อประคองหัวฉันไว้คนเดียวเท่านั้น
แต่เพื่อน สามารถใช้มันเพื่อประคองหัวเพื่อนได้ด้วย

..เสื้อของฉัน
ไม่ได้มีไว้ห้อหุ้มร่างกายของฉันเพียงอย่างเดียว
มันพร้อมจะเป็นที่เช็ดน้ำตา และที่สั่งขี้มูกของเพื่อนถ้าเพื่อนต้องการ

..แขนของฉัน
ไม่ได้มีไว้จูงหมาเดินเล่น แต่มันสามารถใช้ประคองเพื่อนเมื่อเพื่อนจะล้ม
แต่ถ้าเพื่อนล้มลงไปแล้ว ฉันก็ยังมีมืออีก 1คู่ไว้ช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมา

..ปากของฉัน
ไม่ได้มีไว้เพื่อกินและพูดพล่ามทั้งวันหรอกนะ
แต่มีไว้พูดให้กำลังใจเพื่อนด้วยเมื่อถึงเวลาจำเป็น

..ตาของฉัน
มีไว้เพียงเพื่อกระพริบขึ้นลงเสียเมื่อไหร่
ฉันเอาไว้ใช้มัน มองสิ่งดีๆในตัวเพื่อนด้วยต่างหาก

..ฟันของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้กัดใครๆเขา
แต่มีไว้เพื่อจะใช้มันประดับเหงือก ทุกครั้งฉันยิ้มให้เพื่อน

..หูของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเจาะรูแขวนเครื่องประดับ
แต่มันใช้ฟังเพื่อน เมื่อเพื่อนต้องการระบายอะไรออกมาให้ฉันฟัง

..เท้าของฉัน
ไม่ได้มีไว้สะสมกลิ่น... โอเค ถึงแม้มันอาจจะมีบ้าง
แต่ฉันจะใช้เท้า เพื่อเดินอยู่ข้างๆเพื่อนนี่แหละ จะไม่ไปไหนไกล

..สมองของฉัน
อาจไม่ค่อยมีประโยชน์เวลาสอบนักก็จริง
แต่มันจะทำงานหนัก เมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ

..และหัวใจของฉัน
ก็ไม่ได้มีไว้สูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียว
แต่มันทำหน้าที่เก็บเพื่อนไว้ข้างในได้ด้วย...

ที่มา : มิกา นาโนอิ
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

พ่อครับ ผมขอโทษ

หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป

“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"

สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม

เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

. . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเดินออกจากบ้าน

ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม

เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา

ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม

ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ

หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว

ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ

โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

แต่แล้ว!!

ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด

"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห

พ่อหน้าซีดทันที

"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"

"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"

พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา

ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ

พ่อเบือนหน้า

"พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า

"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"

ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร

ไม่ยอมลงจากบ้าน

เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร

หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม

ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา

ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

. . . 14 กุมภาพันธ์

ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ

ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

ผมยอมออกมาจากห้อง

ผมไม่เห็นพ่อ

เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน

ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม

ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่

"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"

พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล

แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"

ผมอึ้ง!!

แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า

พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ

รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น

"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "

"ทำไมล่ะครับ"

"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"

ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!

"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก

ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน

พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว

พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก

แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"

ผมกอดแม่ ร้องไห้

วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป

"พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "



ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน(จริงหรือ)

เธอลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนรถไฟฟ้า

กว่าผมจะเห็นรถไฟก็ออกจากสถานีแล้ว

ผมได้แต่หวังคอยว่าเธอจะโทรกลับมาเข้าเครื่องเพื่อเช็คว่าใครเป็นคนเก็บให้

เฝ้าคิดประโยคคำพูดสวยๆ และสถานที่นัดหมายเท่ๆ สำหรับการคืนโทรศัพท์

ใช่...ผมแอบชอบเธอมาหลายสถานีแล้ว ขึ้นสถานีเดียวกัน … นั่งข้างกัน

อยากพูดคุยแต่ไม่กล้า

ผมลอบมองเธอผ่านเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่างรถ

และแล้ว....โทรศัพท์ก็มีสายเรียกเข้า

ผมรับสายแต่ไม่ใช่เสียงของเธอ

เป็นเสียงจากนางพยาบาล

คุณพ่อเธอเป็นลมฟุบข้างถนน

พลเมืองดีช่วยอุ้มส่งโรงพยาบาล

อาการหนักมากต้องรับการผ่าตัดด่วน

คุณพ่อมีเธอเป็นลูกคนเดียว

ผมมีมือถืออันเดียวของเธอ

ผมจึงกลายเป็นญาติคนเดียวที่สนิทที่สุดในขณะนี้

ผมรีบไปโรงพยาบาลทันที ถึงห้องไอซียู

ป้ายหน้าห้องบอกให้ปิดมือถือก่อนเข้า

แล้วพอปิดมือถือของเธอผมก็เปิดอีกไม่ได้

เพราะรหัสผ่านไม่มี

ผมทำทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้

เซ็นชื่ออนุญาตให้ทำการผ่าตัดคุณพ่อ

ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

รวมทั้งกลับไปตามหาเธอบนสถานีรถไฟฟ้าที่เห็นเธอครั้งสุดท้าย

ผมรู้สึกได้ว่าเธอก็คงกระวนกระวายตามหาคุณพ่อของเธอเหมือนกัน

"เธอมารับคุณพ่อกลับไปแล้วค่ะ"

นางพยาบาลบอกเมื่อเห็นผมงงกับเตียงคนไข้ที่ว่างเปล่า

"เห็นบอกว่าพอรู้ว่าคุณพ่อเธอหายไป เธอก็โทรเช็คทุกโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน"

แต่ผมเช็คทุกบ้านที่ใกล้โรงพยาบาลไม่ได้

"เธอยังฝากข้อความถึงคุณด้วย"

นางพยาบาลยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้

เป็นตัวเลขสี่หลักลายมือบรรจง

“2120”

"เธอบอกจะโทรไปหาคุณเอง" พยาบาลยิ้มและบอกผม....

วันเวลาผ่านไป นาน เท่าไหร่จำไม่ได้.....

เธอ : ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ

เขา : ไม่เป็นไรหรอกครับ

เธอ : แล้วเราจะเจอกันที่ไหนดีคะ

เขา : ตรงแบล็คแคนย่อนในสถานีรถไฟที่เราเคยขึ้นบ่อยๆ เป็นไงครับ

เธอ : ได้ค่ะ กี่โมงดีคะ

เขา : อีกชั่วโมงนึงเจอกันนะครับ

เธอ : ได้ค่ะ พอคุณถึงแล้วโทรเข้าเบอร์นี้นะคะ 01***-****

และแล้ววันเวลาที่เขาจะบอกรักก็มาถึง

เขา : คือผมเห็นคุณขึ้นระไฟฟ้าไปทำงานมาสามปีแล้วครับ

ทุกครั้งถ้ามีที่ว่างผมพยายามไปนั่งข้างคุณ หรือไม่ก็ไปยืนข้างๆ คุณ

ผมแอบมองคุณจากเงาสะท้อนในกระจกทุกครั้งเลยครับ

เธอ : จริงหรือคะ ดิฉันก็มองคุณมานานแล้วค่ะ

แต่ดิฉันมองที่คุณตรงๆ เลยค่ะ

ดิฉันมองคุณปีนึงเต็มๆ เลยค่ะ

แต่คุณไม่มีทีท่าว่าจะมองดิฉันเลย

ตอนนั้นดิฉันเห็นคุณมองแต่วิวข้างนอก

ดิฉันมองอยู่หนึ่งปีเต็ม

ดิฉันคิดว่าคงไม่มีหวังแล้ว ยังไงๆ เขาก็ไม่สนใจดิฉัน

ดิฉันเลยไม่ได้สนใจคุณอีกเลยค่ะ

สองปีให้หลังดิฉันเลยมองคนที่อยู่อีกข้างของดิฉัน

แล้วเขาก็ส่งยิ้มให้ดิฉันค่ะ

เรามองกันอยู่ปีครึ่งค่ะ

หกเดือนที่แล้วเราก็ได้คุยกันครั้งแรกค่ะ

คุณเชื่อมั๊ยคะว่าเราเพิ่งหมั้นกันอาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ

เขา : ...(อึ้งไปเลยพูดไม่ออก)......คะคคครับ......

“ขอให้คุณกับคู่หมั้นมีความสุขมากๆ แล้วเจอกันครับ ... บายยยย”

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมได้แต่คิดว่า ...

ทำไมตอนนั้นผมถึงไม่เข้าไปคุยกับเธอ

ทำไมผมไม่บอกเธอ...ว่าชอบ

ทำไมผมไม่บอกเธอ...ว่าสนใจ

ณ ตอนนั้นที่เจอเธอทำไมผมต้องบอกตัวเองว่า

เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยบอกเธอก็ได้...เฮ้อออออ


ที่มา : kapook.com
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ผู้หญิงแบบไหน ที่ผู้ชายอยากได้เป็นเจ้าสาว

       ผู้หญิงที่น่าไว้วางใจ ผู้ชายไม่ว่าสไตล์ไหน ก็ยังคงต้องการ ความไว้วางใจ จากผู้หญิงทั้งนั้น เขาอยากที่ จะมั่นใจว่าคุณจะไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ เขาเหมือนกับเขาเป็นกระดาษทิชชู หรือว่าคุณจะไม่เฟลิตใส่ญาติพี่น้องของเขา พูดง่ายๆ ทำตัวให้เขาไว้ใจคุณ

        ผู้หญิงแบบเพื่อนกัน เค้าหน่ะไม่อยากได้แม่อีกคนหรอกนะ หรือว่าไม่อยากได้ประเภทอินโนเซนท์ทำอะไรไม่เป็น หรือว่าไม่มีหัวคิดเป็นของตัวเอง ผู้ชายก็เหมือนผู้หญิงนั่นแหละ เขาอยากจะมองหาคนที่เข้าใจ ไว้ใจ เชื่อใจได้ ปรึกษาได้ทุกเรื่อง หรือเป็นเพื่อนคุยคอยรับฟังปัญหา แบ่งปันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่น้ำตา ทุกเวลากับคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

       มีความเป็น "เรา" คือ มีความเชื่อและค่านิยมพื้นฐานที่คล้ายๆ กันไง แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกๆ อย่าง ความรู้สึกที่เป็นทีมเวิร์คที่ดี จะทำให้คนสองคนมีความผูกพันกันมากขึ้น เช่น ค่านิยมพื้นฐานเรื่องเวลา เงิน หรือแม้กระทั่งศาสนา และความสำคัญของครอบครัว

        ผู้หญิงที่มีความสนใจอะไรคล้ายๆ กัน ผู้ชายจะตื่นเต้น ที่ได้พบผู้หญิงที่ให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เธอทำ และผู้หญิงก็เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่แอคทีฟ และสนุกในกิจกรรมเดียวกับที่ผู้ชายทำ ไม่ว่าจะเป็นชอบเล่นกีฬา หรือว่าเล่นเกมส์ เคาน์เตอร์สไตรค์ ฯลฯ ผู้หญิงที่น่าสนใจจะเป็นคนที่ดึงผู้ชายให้ไปลองอะไรใหม่ๆ ที่เขาอาจจะไม่ชอบโดยธรรมชาติ แต่หลังจากนั้น เขาจะค้นพบว่าเขาก็สนุกเหมือนกัน ที่ได้ลองทำอะไรแปลกออกไป

         ผู้หญิงที่มีอารมณ์ขัน ไม่มีใคร อยากอยู่กับผู้หญิงที่หน้าบึ้ง หรือว่าไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย เสียงหัวเราะที่สดใส ไร้จริต เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ชายหลงมานักต่อนักแล้ว คุณรู้สึกบ้างหรือเปล่าเวลาที่คุณหัวเราะกับใครซักคน คุณจะรู้สึกเป็นกันเองกับคนๆ นั้นทันที อารมรณ์ขันช่วยสร้างความใกล้ชิดและความอบอุ่น แถมยังไล่ตะเพิดความเครียดอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นคำพูดที่ว่า "ยิ้มวันละนิด จิตแจ่มใส" ก็ยังใช้ได้ดีอยู่

         ฉลาด ผู้หญิงฉลาดเท่านั้นที่ผู้ชายต้องการ บางคนบอกว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่ฉลาดและเก่งกว่าตน ไม่จริง หรอกค่ะ ผู้ชายสมัยนี้นิยมผู้หญิงที่ฉลาด มีไหวพริบ มีความคิดความอ่าน แต่ต้องฉลาดให้ถูกที่ ไม่ใช่ทำเบ่งอวดฉลาดต่อหน้าคนอื่น แล้วทำให้ผู้ชายคนนั้นต้องอับอาย อย่างนั้นไม่ฉลาดจริงหรอก

          เรื่องเซ็กส์ ต้องยอมรับกันว่าอารมณ์แบบนี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แต่ว่าเซ็กส์ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นคงขึ้นไปอยู่อันดับที่ 1 แล้ว การคิดถึงใครในแง่ที่เป็นคู่นอนนั้น ไม่เหมือนกับการคิดถึงใครในแง่ที่เป็นพื่อนหรือคู่ชีวิตหรอกค่ะ ผู้ชายก่อนที่เขาจะแต่งงาน เขาก็จะไม่ได้มองหาความตื่นเต้นที่จะมีเซ็กส์หรอก แต่เค้ากลับมองและอยากจะแน่ใจว่า ในอีก 70 ปีข้างหน้า เขาจะยังอยู่เคียงข้างกับเธอคนนั้นต่างหาก

ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

บทสนทนาของหัวใจ

ในเลาที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สับสนวุ่นวาย เราอาจมองข้ามเสียงเล็ก ๆ
บางเสียงไป แต่ในเวลาที่เราอยู่เงียบ ๆ เราอาจได้ยินเสียงนั้นดังอยู่ในใจ
เราก็ได้
เสียงเบา ๆ ของหัวใจ
เสียงหัวใจกำลังพูดคุย กำลังบอกผ่านความรู้สึกออกมา

...
"ทำไมผู้ชายถึงไม่เข้าใจบ้าง แค่บอกคำว่ารักคำเดียว เขาจะถึงกับจะเป็นจะตาย
เลยหรือ ..."
"ทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบให้บอกคำว่ารักกันนักนะ แค่คำพูดคำเดียว มันจำเป็น
ด้วยเหรอ ...

============================================

"เธอจะรู้มั๊ยนะ ว่าการเดินจูงมือกัน มันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง
อย่างบอกไม่ถูก ... เธอปล่อยมือฉัน เธอไม่รักฉันแล้วเหรอ ..."
"เดินจูงมือเหรอ เดินก็เดิน จะเดินปล่อยมือจูงมือ มันก็เหมือนกันแหละ อย่า
คิดมากเลย ..."

============================================

"เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ เธอ หรือเพื่อน ๆ ฉัน ฉันก็อยากบอกกับพวกเขาว่า เธอ
เป็นคนรักของฉัน เป็นคนที่ฉันรักนะ ..."
"ที่ผมทำห่างเหินเวลาเราเจอเพื่อน ๆ ก็เพราะผมวางตัวไม่ถูก ผมไม่รู้ว่า ผม
ควรแสดงความเป็นเจ้าของเกินไป หรือควรจะให้คุณอยู่ห่าง ๆ ดี ..."

============================================

"เธออยากเห็นฉันร้องไห้เหรอ ..."
"ฉันไม่ชอบความขี้แยของเธอ ..."
"ที่ฉันร้อง เพราะฉันอยากให้เธอสนใจ อยากให้เธอช่วยปลอบใจฉัน"
"ที่เธอร้อง ผมว่าบางทีมันน่ารำคาญนะ"

============================================

"รักฉันมั๊ย"
"แค่คำว่ารักเหรอ บอกส่งเดชไปก็ได้"

============================================

"ที่โทรมา ก็เพราะเป็นห่วงนะ เธอจะเป็นอะไรหรือเปล่า ห่วงไปหมด"
"โอ๊ย โทรมาอยู่ได้ ก็ไม่เป็นอะไรไง ฉันแข็งแรง ไม่ต้องห่วง"

============================================

"ไม่รู้เลยเหรอว่าฉันต้องการอะไรจากเธอ"
"อ้าว เธอไม่บอก แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง"

============================================

"อย่าปล่อยฉันอยู่คนเดียว ..."
"ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก ..."

===========================================

"ไม่ต้องพูดอะไรได้มั๊ย ฟังฉันก็พอ ..."
"ฉันก็แค่ อยากให้ข้อคิดกับเธอ ไม่ได้ตั้งใจจะขัดคอเธอนะ เข้าใจกันบ้างสิ"
"ฉันอยากมีใครสักคนที่รับฟัง ..."
"ฉันอยากให้เธอเลิกบ่นได้แล้วล่ะ"
===========================================

"ฉันแค่อยากมีใครสักคนที่เข้าใจฉัน ..."
"คุณเข้าใจผมบ้างหรือเปล่า ..."

===========================================

"ทำเพื่อฉันหน่อยไม่ได้หรือ ..."
"ขอร้องว่า อย่าให้ผมฝืนทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำเลย ..."

===========================================

"ฉันเป็นฝ่ายเข้าหาเธอฝ่ายเดียวเลย เธอช่วยปรับมาหาฉันบ้างได้ไหม ..."
"ผมทำได้เท่านี้แหละ เท่านี้จริง ๆ ขอโทษด้วยนะ ..."

===========================================

"เล่าให้ฉันฟังได้มั๊ย เธอเริ่มชอบฉันยังไง"
"โอ๊ย ไม่เอา อย่าถามมากน่า ตอนนี้รักก็พอแล้ว"

===========================================

"ขอโทษที่ฉันต้องโกหกเธอ ..."
"การถูกโกหกจากคนที่ผมรัก มันเจ็บมากแค่ไหนคุณรู้ไหม ..."

===========================================

"จำได้ไหมวันนี้วันอะไร ..."
"วันนี้เหรอ ขอนั่งนึกดูก่อนนะ เดี๋ยวไปทำงานแล้วอาจนึกออก ..."

===========================================

"ทำไมเธอไม่ปรับเข้ามาหาฉันเลยล่ะ ฉันปรับหาเธอฝ่ายเดียวจนทนไม่ไหวแล้ว"
"ผมก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้มั๊ยล่ะ"

===========================================

"เธอไม่เป็นห่วงฉันเลย"
"ผมรู้ว่าคุณเก่ง คุณไม่เป็นอะไรหรอก"

===========================================

"เธอให้ความรักกับฉัน มากขึ้น ๆ อย่าให้มันน้อยลงนะ"
"ผมให้ความรักกับคุณมากพอแล้ว ผมคงต้องผ่อน ๆ ลงหน่อยแล้วล่ะ ผมไม่สามารถ
ให้ได้มากขนาดนี้ตลอด"

===========================================

"เธอทำแบบนี้ฉันเสียใจนะ"
"คุณทำให้ผมต้องทำแบบนี้เองนี่"

===========================================

"ฉันไม่ได้อยากแสดงความเป็นเจ้าของหรอกนะ แต่ฉันมีผู้ชายที่ฉันรักอยู่คน
เดียว เข้าใจฉันไหม ..."
"เธอกำลังทำให้ฉันอึดอัดนะ เข้าใจไหม ..."

======================================

"เธอรักฉันอยู่หรือเปล่า"
"คำพูดไม่สำคัญเท่าความรู้สึกหรอก"

======================================

"สนใจฉันหน่อย"
"ผมเพิ่งทำกลับมาเหนื่อย ๆ นะ ขอเวลาพักหน่อยสิ"

======================================

"นี่เรามากันได้แค่นี้จริง ๆ หรือ"
"ผมทำได้แค่นี้แหละ คุณอยากไปก็ไปนะ"

======================================

"ฉันไม่อยากเสียใจบ่อย ๆ อย่างนี้อีกแล้ว สู้ไม่ต้องเสียใจกันอีกเลยดีกว่า
..."
"แม้ว่าผมจะต้องเสียใจบ่อย ๆ แต่อย่างน้อย ก็ยังบอกใครได้ว่า ผมมีแฟน ..."

======================================

"เธอเพียงแค่ต้องการให้คนอื่นเห็นว่า เธอมีคนรักเท่านั้นหรือ ..."
"เอ่อ ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนผมครับ ..."

======================================

"ความอดทนของผู้หญิง ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ ..."
"ผมรู้ว่าคุณไม่ยอมไปจากผมหรอก เดี๋ยวมันก็ดีเองแหละ อย่าคิดมาก"

======================================

แม้ว่าหัวใจใครต่อใคร จะเจ็บปวดรวดร้าว จะหนาวเหน็บแค่ไหน แต่หัวใจทุกดวง
ก็ยังหวังว่า จะได้พูดคำล้ำค่าคำหนึ่ง
คำสั้น ๆ เก่า ๆ ว่า

"ฉันรักเธอ"

ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

นิทานสอนใจ เรื่องผู้หญิง

        กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว... อาเธอร์ถูกจับและจะโดนประหารชีวิต แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาแสนยากข้อหนึ่งได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร คำถามนั้น คือ.... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร?

        ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและเริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง

          แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง...อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของเหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น มีฟันเหลือซี่เดียวตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน

           ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงาน เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์ สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือ การได้เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง

        แต่ทว่า... งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติ ทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด

         และแล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง... กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยอง เขาก้าวเข้าสู่ห้องนอนวิวาห์...ช่างไม่น่าเชื่อสายตาตนเอง!!!

หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า

กาเวนงุนงง???

           สาวแสนสวยเฉลยว่า เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด) ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ ส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้

และให้กาเวนเลือกว่า กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน?

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!!

        กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด? หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี?? เป็นคุณล่ะ คุณจะเลือกอย่างไร???

กรุณาหยุดคิดสักนิด

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว....ไปดูเฉลยข้างล่างคับ




กาเวนตอบว่า "เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง" เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอจึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด

2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความประพฤติของผู้ชาย


ที่มา : admin
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ทางเลือกทางที่สอง

           ถ้าคุณกำลังรักใครสักคน...แต่ว่าเขาคนนั้นไม่ได้มีใจให้คุณ คุณจะเลือกอะไร...
ระหว่าง...ทางแรกทางที่คุณจะยอมถอยออกมาจากเขา หรือ ทางที่สอง ที่คุณจะมุ่งมั่นรักเขาต่อไป...

           ถ้าเป็นฉัน สิ่งที่ฉันจะเลือก ก็คือ ทางที่สอง ฉันจะมุ่งมั่นรักเขาต่อไป อาจจะดูงี่เง่า อาจจะไม่ได้ความรักกลับมา อาจจะเป็นทุ่มเทฝ่ายเดียว อาจจะเสี่ยงที่ต้องเจ็บ อาจจะต้องท้อกับท่าทีที่เขาชาเฉย...แต่ฉันว่ามันก็คุ้ม...

เขาคงจะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร
เขาคงจะคิดว่าฉันงี่เง่า
ไม่ว่ารักที่ฉันให้เขา จะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา

...แต่ฉันก็...รอ...แล้วก็...รอ

ทุกๆวัน ฉันก็ดำเนินชีวิตตามปกติ ทำทุกอย่างแบบเดิมๆ ส่งข้อความให้เขาตอนเช้า และก่อนนอน ข้อความที่ส่งไปให้ก็เป็นข้อความสั้นๆ บอกให้เขารู้ว่า ฉันห่วงใย เป็นกำลังใจให้และคอยดูเขาอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา..ส่งการ์ด ของขวัญบ้าง ในวันพิเศษ...

เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ที่ฉันทำแบบนี้
ฉันคอยดูแลเขาตลอด
และตลอด 3 ปี ที่เขาไม่รู้ว่าฉันคือใคร
ฉันอยู่ในมุมเล็กๆ คอยส่งความปรารถนาดีให้เขา
ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเห็นคุณค่าสิ่งดีๆที่ฉันมอบให้เขาหรือไม่...

และแล้วก็มาถึงวันนี้...สิ่งต่างๆที่ฉันคอยทำ ดูเหมือนว่าจะมีกลับมามีความหมาย...

ในวันที่ฝนพรำ ฉันเปียก... หนาวสั่น... แล้วผู้ชายที่ฉันแอบมอง แอบห่วงใย แอบดูแลมาโดยตลอด มายืนอยู่ข้างๆฉัน

ผู้ชายคนนั้นยื่นร่มสีขาวให้ฉัน...
และบอกกับฉันว่า...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา...

ฉันยื่นนิ่งท่ามกลางฝนที่ตกหนัก มองหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนั้นมีหน้าตาจริงจัง มุ่งมั่น และตอนนี้ฉันก็เพิ่งจะรู้ว่า ผู้ชายคนนั้นรู้มาโดยตลอด ว่าฉันเป็นคนที่คอยดูเเลเขา...ประทับใจเขา ฉันมองหน้าเขาอย่างตาไม่กระพริบ เหมือนเวลาจะหยุดเดิน ดูเหมือนว่าฉันจะหยุดหายใจ ไปชั่วครู่...

ฉันยังยืนนิ่ง และเขาก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก ฉันไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น

ความรักของฉันที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ กลับมีผู้ชายที่ฉันรัก มายืนอยู่ข้างหน้าตอนนี้ ฉันไม่เคยได้ยืนอยู่ใกล้เขาแบบนี้มาก่อน และเหมือนว่าความฝันของฉัน ที่ฉันก็คิดมาตลอด มามันเป็นได้เพียงแค่ฝัน...แต่ว่าวันนี้ มันกลับเกิดขึ้นจริง

เขามองหน้าฉันอีกครั้ง พร้อมกับพูดว่า "ต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณเอง"

ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับชีวิตของฉัน สิ่งที่ฝันมาตลอดจะเกิดขึ้นจริง ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นได้แค่รักฝ่ายเดียว วันนี้มันเปลี่ยนไป สิ่งที่ฉันทำไม่ได้สูญเปล่า เขาคนนั้นกลับมองเห็นมันมาโดยตลอด

---ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครอีกกี่คน ที่กำลังมีความรัก แบบที่ยังไม่ได้รับรักตอบ แต่ฉันอยากให้คุณรักต่อไป ลองทำให้เขามีความสุข ดูเเลเขา คอยอยู่ใกล้ๆ เป็นกำลังใจให้เขา บางที...คุณอาจจะโชคดีเหมือนฉัน...

ฉันเพิ่งรู้ว่าทางเลือกทางที่สอง...ทางเลือกที่จะรักต่อไป...มันอาจไม่ใช่ทางตัน แต่มันอาจจะเป็นทางที่จะทำให้หัวใจของคุณทั้งสองได้เจอกันก็ได้...


ที่มา : sensiitiive
เจ้าของบทความ : sensiitiive

ถึงคนที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงาน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วกินใจมาก
ลองอ่านและซึมซาบความรู้สึกอย่างช้า ๆ

"เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป....
เธอควรเป็นคนที่จูงมือชั้นออกไป "

ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน
รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา
เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน
ดังนั้นผมจึงทำตาม
เธอเขินอายในอ้อมแขนผม

ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก...
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี... ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม

เรามีลูกด้วยกัน...ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...
เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น...
ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...
ทุกๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน
ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก...

แต่แล้ว
ความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย....

เจนเข้ามาในชีวิตของผม .... ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน...
เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง..
หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก...

ที่นี่...เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ...
เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคน ถวิลหา...

คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม...
ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า
วันที่คุณประสบความสำเร็จ
ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา...

ผมเริ่มรู้สึกลังเล...
ผมรู้ว่าผมกำลังทรยศภรรยาผม...
แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว....
ผมปลีกตัวออกจากเจน "
วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ
ผมต้องเข้าออฟฟิศ " ...
แน่นอน... เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะไปด้วยกัน...

ในตอนนั้น...ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม....
ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม....
ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด...
เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน...
จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก... ทุก ๆ
เย็นเธอจะวุ่นวายกับการทำอาหาร..ในขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน...
หรือ... ถ้าผมจะเลือกเป็น...นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์....
มองเรือนร่างอันงดงามของเจน...
ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง

วันนึงผมพูดทีเล่นทีจริงกับภรรยาของผมว่าจะเธอจะทำยังงัยถ้าเราหย่ากัน...
เธอจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร..
เธอมั่นใจว่าการหย่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเธอมาก...
ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเธอรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง... เธอจะเป็นอย่างไร

วันนึงภรรยาผมมาที่ออฟฟิศ...สวนทางกับเจนที่เพิ่งจะออกไปพอดี...
พนักงานทุกคนทำหน้าตาเลิกลัก... เหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างจากเธอ....
เธอเหมือนจะรับรู้มันได้... แต่เธอก็ยิ้มน้อย ๆกับพนักงานทุกคน....
แต่ผมก็สังเกตุเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอภายใต้รอยยิ้มนั้น

ในที่สุด...เจนก็บอกกบผมว่า...หย่ากับเธอน๊ะ..แล้วเราอยู่ด้วยกัน..ผมพยักหน้า....

ผมจะลังเลอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....ผมตัดสินใจบอกภรรยาผมในอาหารค่ำ..
ผมมีอะไรจะบอกคุณ... เธอนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ...
ผมสังเกตุเห็นแววตาอันเจ็บปวดของเธอ...มันทำให้ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการพูดไม่ออก..
แต่ท้ายที่สุดผมก็พูดออกไป...

ผมต้องการหย่า...

เธอดูไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไปเลย...
ผมย้ำกับเธออีกครั้ง...เธอเขวี้ยงตะเกียบในมือทิ้ง...
แล้วตะโกนใส่หน้าผมว่า..คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...เราไม่ได้คุยกันอีกเลยคืนนั้น...

เธอร้องไห้อย่างหนัก...

ผมรู้ว่าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา...
แต่ผมเองไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้...เป็นเพราะใจผมได้ให้เจนไปหมดแล้วงั้นเหรอ...
ผมคงไม่สามารถบอกเธออย่างนั้นได้..มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...

ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น...ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน...
ทุกๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ... หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด....

เธอเหลือบมองกระดาษที่ผมร่างขึ้นแล้วฉีกมันทิ้ง...
มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น...
ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นระยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน...
ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้...

เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด...
สำหรับผมแล้ว...การร้องไห้ของเธอเหมือนเป็นการปลดปล่ยยความสับสนของตัวผมเอง...

หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผม..ในที่สุด...มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริงๆ เสียที

คืนนั้น...ผมกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก...
เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ..ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย...
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า...

เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม...
แต่เธอต้องการให้ผมให้เวลาเธอหนึ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า...
และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ...
ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..
เธอไม่อยากให้ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่อนเวลานั้นจะมาถึง...

รัชต์..คุณจำได้มั๊ย...วันที่เราแต่งงานกัน...คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ..
ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชั้น...

ชั้นมีเรื่องขอร้อง...
ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจากห้องนอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน
ผมยอมรับด้วยความเต็มใจ...ผมรู้ดีว่า เธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น...
และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี

ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง...
เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข....
ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้...

คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง....

เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า...ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป...

พอถึงวันที่ผมประคองเธอลงจากห้องวันแรก...มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก...
ลูกชายเราตบมือแล้วพูดด้วยความดีใจว่า

ว้าว...วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย....มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น......
เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา...ผมพยักหน้า...ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม...
ผมขับรถไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ

วันถัดมา...ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป...เธอซบบนอกผม...
เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ...
ผมถึงได้ตระหนักว่า....เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว...เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น

ในวันที่สาม...เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย...

ในวันที่สี่...มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก...ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป...

วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน..
ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร...และอื่นๆ อีกมากมาย...
ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที...ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย...
ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย...

หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงขึ้น...แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...
เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้..นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น
ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้...
ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ...
สำหรับลูกแล้ว...การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็นภาพที่เขามีความสุขที่สุด....
เธอเอื้อมมือไปกอดลูกไว้แน่น...ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ
ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง....ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด...เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก......เธอบอกกับผมว่า...

ความจริงแล้ว...ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า...ผมกอดเธอแน่น...และผมก็ตระหนักว่า..
ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน...ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..
ผมลังเลเล็กน้อย..

แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้....เธอเปิดประตูออก...ผมบอกเธอว่า
เจน..ผมขอโทษ...ผมจะไม่หย่า....เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม.. คุณสบายดีหรือเปล่า
เจน...ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริง ๆ...ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม...
ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็นเพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย...
ผมขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ....มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน....
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้าน...เธอมีลูกให้ผม...ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่...
เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม....

ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้....
พนักงานขายดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร....ผมให้เธอเขียนว่า...ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่


ที่มา : เจ้นวลสุดสวย ^_^
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

 
Powered by Blogger