วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แค่เพียง เสี้ยววินาที

เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่ง
เมื่อครั้งผมยังเป็นน้องใหม่ในโรงเรียนมัธยม

ผมเห็นเด็กคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน
ผมจำได้ว่าเขาชื่อไคลล์

ดูราวกับว่าเขากำลังขนหนังสือทุกเล่มของเขากลับบ้านด้วย
ผมคิดว่า
“ทำไมนะถึงยังมีคนหอบหนังสือทั้งหมดของตัวกลับบ้านในวันศุกร์ด้วย
หมอนี่มันจะต้องเป็นพวกคนประหลาดแน่ ๆ
เลย]


ผมเองนั้นมีแผนการสำหรับวันหยุดเอาไว้แล้วนั่นคือไปงาน party และเล่นฟุตบอลกับพวกเพื่อนๆตอนบ่ายพรุ่งนี้


คิดไปแล้วผมก็ยักไหล่จะเดินจากไป
แต่ขณะนั้นผมก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งแข่งกันตรงมายังไคลล์

จนชนเขาล้มลงคลุกฝุ่นข้างทาง
หนังสือในอ้อมแขนของเขาก็ตกกระจัดกระจาย





ผมเห็นแว่นตาของเขากระเด็นไปตกบนพื้นหญ้าห่างจากตัวเขาประมาณ 10 ฟุต เขาเงยหน้าขึ้น
และผมก็ได้เห็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดในดวงตาของเขา



ใจผมวูบลงทันที ผมวิ่งเยาะ ๆ
ไปหาเขา



ขณะที่เขากำลังคลำหาแว่นตาของตัวเองอยู่

ผมสังเกตเห็นว่าตาของไคลล์มีน้ำตาคลอ

ขณะที่ผมยื่นแว่นตาให้เขา
ผมก็พูดกับเขาว่า
"งี่เง่าพวกนั้นน่ะ มันน่าจะเก็บซะจริงๆ"


ไคลล์มองผมและพูดว่า "เฮ้ ขอบคุณนะ"
ด้วยใบหน้าที่สดใสขึ้นจากรอยยิ้มที่แสดงถึงความสำนึกขอบคุณอย่างจริงๆ


ผมช่วยเขาเก็บหนังสือ และถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
มันน่าแปลกใจมากที่กลายเป็นว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆบ้านผม

ผมถามเขาว่าทำไมผมถึงไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาได้ไปเข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชน
ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยได้คบหากับเด็กโรงเรียนเอกชนด้วย


ผมช่วยเขาหอบหนังสือและเราสองคนก็พูดคุยกันไปตลอดทางที่กลับบ้าน
ผมพบว่าไคลล์เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจทีเดียว


ผมถามเขาว่าต้องการจะมาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับผมและเพื่อนในวันเสาร์รึเปล่า

เขาตอบตกลง

ดังนั้นเราสองคนก็ได้ใช้เวลาในวันหยุดด้วยกันกับพวกเพื่อนๆ ผม

และยิ่งผมได้รู้จักไคลล์มากขึ้นเท่าไรผมก็รู้สึกชอบเขามากขึ้นเท่านั้น


พวกเพื่อน ๆของผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ในเช้าวันจันทร์ถัดมาผมก็ได้เจอไคลล์อีกพร้อมหนังสือกองโตเต็มหอบแขน
ผมหยุดเขาและพูดกับเขาว่า


"ให้ตายเถอะ
นายคิดที่จะเพาะกล้ามด้วยกองหนังสือพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ!?"

ไคลล์หัวเราะและแบ่งหนังสือครึ่งหนึ่งให้ผมช่วยถือ
จากวันนั้นมาจนตลอด 4ปี
ไคลล์และผมก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
จนเมื่อพวกเราได้เป็นรุ่นพี่ปีสุดท้าย
พวกเราก็ต่างเริ่มคิดถึงเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย

ไคลล์ตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Georgetownส่วนผมก็จะไปเรียนที่Duke

ผมรู้ดีว่าเราจะยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอและระยะทางห่างไกลนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับความสัมพันธ์ของเราเลย

ไคลล์จะเรียนให้จบแพทย์

และผมก็จะเรียนทางด้านธุรกิจโดยใช้ทุนการศึกษาของทีมฟุตบอล

ไคลล์ถูกเลือกให้เป็นผู้กล่าวคำอำลาในพิธีจบการศึกษาของชั้นเรา
ผมยังคงล้อเลียนเขาอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ว่าเขาเหมือนพวกคนประหลาด






ในขณะที่เขาต้องเตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานการจบการศึกษา
ผมก็รู้สึกดีใจมากที่ไม่ใช่เป็นผมที่จะต้องขึ้นไปพูดบนเวที


ในวันงานจบการศึกษา
ผมมองดูไคลล์


และคิดว่าเขาดูดีมากทีเดียว






ไคลล์นับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่มที่ในที่สุดก็สามารถค้นพบตัวเองในช่วงชีวิต



ของนักเรียนมัธยม

ไคลล์มีรูปร่างล่ำสันขึ้น

และดูเหมาะมากกับแว่นตา
เขามีนัดกับสาว ๆ
มากกว่าผมอีก

และพวกผู้หญิงก็รักเขาทุกคน

ให้ตายเถอะมันทำให้ผมอดนึกอิจฉาไม่ได้ในบางครั้ง

ผมสังเกตเห็นว่าไคลล์กำลังกังวลเกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์



ผมจึงเข้าไปตบหลังให้กำลังใจและพูดว่า
"เฮ้ หนุ่ม

..นายจะต้องทำได้เยี่ยมอย่างแน่นอน!"




ไคลล์มองผมด้วยสายตาเช่นทุกครั้ง

สายตาที่แสดงความขอบคุณอย่างจริง

เขายิ้มพร้อมพูดว่า
"ขอบคุณ"
ไคลล์กระแอม และ ได้เริ่มต้นสุนทรพจน์ของเขาว่า…

"
วันจบการศึกษา

เป็นโอกาสที่เราจะได้ขอบคุณบรรดาผู้ซึ่งได้ช่วยเหลือพวกเราให้ผ่านพ้นปีแห่งความย
กลำบาก

พวกเขาเหล่านั้นก็คือ
พ่อ
แม่
คุณครู
พี่น้องของคุณ

หรือแม้แต่โค้ชกีฬาของคุณด้วย


แต่อันที่จริงแล้วผู้ที่คอยช่วยเหลือคุณมากที่สุดนั้นก็คือเพื่อนๆ
ของคุณนั่นเอง ผมได้มายืนอยู่ ณ ที่นี้ก็เพื่อที่จะบอกคุณทุกคนว่า

การได้รับความเป็นเพื่อนจากใครบางคนนั้น

นับเป็นการได้รับของขวัญอันสุดวิเศษ

และผมขอยืนยันสิ่งนี้ด้วยการเล่าเรื่องของผมให้พวกคุณ… "


ผมมองไคลล์


เพื่อนคนนี้ของผมอย่างไม่เชื่อสายตา
ในขณะที่เขาเล่าถึงวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน

เขาเล่าว่าเขาได้วางแผนที่จะฆ่าตัวตายในช่วงวันหยุด


โดยเขาเตรียมการทำความสะอาดล๊อคเกอร์เก็บของที่โรงเรียน และขนของทุกอย่างในนั้นกลับบ้าน
เพื่อที่แม่ของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากมาทำให้เขาอีกในภายหลัง

ไคลล์มองนิ่งมาที่ผมพร้อมยิ้มน้อยๆ

น่าขอบคุณจริง ๆ

ที่ผมได้ถูกช่วยชีวิตไว้…เพื่อนของผมช่วยผมไว้จากการตัดสินใจกระทำสิ่งซึ่งจะ


ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มายืนพูดอยู่ ณที่นี้อีกเลย


ผมได้ยินเสียงเฮือกหายใจจากกลุ่มคนที่อยู่ในพิธี

ในขณะที่ได้ฟังเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขาเล่าให้ฟังถึงช่วง เวลาแห่งความอ่อนแอในชีวิต…ผมได้เห็นแม่และพ่อของไคลล์มองมาที่ผม

พร้อมรอยยิ้มแสดงความขอบคุณอย่างเดียวกันและในบัดนั้นเองที่ผมได้เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำที่ว่า

คนเราไม่ควรประเมินค่าในการกระทำของตนเองน้อยไป
เพราะเพียงแค่สิ่งเล็กน้อยที่คุณแสดงต่อใครบางคน
ก็สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาคนนั้นได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม
ในความเป็นเพื่อนนั้น

พวกเราได้ถูกกำหนดให้มาพบเจอกันเพื่อที่จะได้ช่วยเป็นแรงผลักดันในชีวิตของกันและ

ันในทางใดทางหนึ่ง...


ไคลล์จบสุนทรพจน์ของเขาว่า
....


เพราะ…เพื่อนคือเทพหรือนางฟ้า

ผู้ที่จะช่วยโอบอุ้มเราให้สามารถยืนหยัดบนขาได้อีกครั้ง

เมื่อปีกของเราลืมวิธีการที่จะบินไปชั่วขณะหนึ่ง

ที่มา : ซ้อเหมา
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Powered by Blogger